Last updated: 20 เม.ย 2565 | 654 จำนวนผู้เข้าชม |
เกษตรและสหกรณ์ฯ จับมือ สภาเกษตรฯ ลงพื้นที่เพื่อเก้บข้อมูลเร่งวางแผนรับมือแก้ปัญหาสับปะรดซึ่งจะออกจำนวนมากในเดือนหน้า คาดจะล้นตลาดเพิ่ม ซ้ำเติมด้วยการเกิดสงครามยูเครนรัสเซียซึ่งเป็นแหล่งรับซื้อสับปะรดเนื้อขาวแหล่งใหญ่หยุดรับซื้อ
วันนี้ นางสาวรตนพร กิติกาศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดลำปาง พร้อมด้วย นางณิชรัศม์ แลวงค์นิล หัวหน้าสำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดลำปาง และเจ้าหน้าที่ ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกสับปะรด และ ช่วงเวลาที่จะผลผลิตพร้อมออกจำหน่ายจำหนวนมาก ใน 3 เดือนถัดจากนี้คือ ระหว่าง พ.ค.-มิ.ย.-ก.ค. ณ สหกรณ์ผู้ปลูกสับปะรดจังหวัดลำปาง ม.3 ต.บ้านเสด็จ อ.เมือง จ.ลำปาง เพื่อเตรียมวางแผนในการกระจายผลผลิตออกสู่ตลาดทั้งแบบขายผลสดและเข้าโรงงาน แก้ปัญหาสับปะรดล้นตลาด
โดยนางศริพร ช่างปณีตัง ผู้จัดการสหกรณ์ ได้ให้ข้อมูลว่า ในเดือนหน้าคือ พ.ค.และ มิ.ย.-ก.ค. รวม3 เดือน สับปะรดจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งมีผู้ปลูกกว่าหนึ่งพันราย จะมีผลผลิตที่ส่งจำหน่ายเข้าโรงงานประมาณ 15,000 ตัน แต่ปีนี้เนื่องจากมีฝนตกทำให้ปริมาณอาจจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากสับปะรดจะมีความสมบูรณ์ คือจะมีปริมาณที่เพิ่มขึ้นประมาณ 20-30 % คือรวมแล้วปริมาณบวก-ลบ 30,000 ตัน หากรวมบริโภคสดก็จะประมาณบวก-ลบ 35,000 ตัน
ซึ่งในปีนี้ทั่วประเทศเจอปัญหาเกี่ยวกับการจำหน่ายไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะตะวันออกกลาง เกิดสงครามยูเครน-รัสเซีย ซึ่งเป็นแหล่งรับซื้อสับปะรดเนื้อขาวมากที่สุด หยุดการรับซื้อ ทำให้สับปะรดเนื้อขาวมีจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ทางโรงงานจึงใช้วิธีขายสับปะรดเนื้อขาวเพิ่มสับปะรดเนื้อเหลืองให้ เพื่อจำหน่ายไปยังทางยุโรป แต่ทุกสวนเมื่อตัดมาแม้จะเลือกเป็นสับปะรดเนื้อเหลืองแต่ก็ยังมีสับปะรดขาว ซึ่งก็ยังคงมีมากที่จะจำหน่ายไม่ได้ ประกอบกับโรงงานคาดการณ์ว่าในเดือนหน้าสับปะรดจะออกมากทำให้ขณะนี้ชะลอการรับซื้อ ผลผลิตที่มีก็พยายามหาโกดังเก็บเพื่อจะรอซื้อสับปะรดในราคาที่ถูกลงในเดือนหน้าด้วย และ ปัญหาที่จะต้องเจออีกอย่างหนึ่งคือในปีนี้จะเห็นว่าทุกภาคที่ปลูกสับปะรดมีฝนตกทำให้สับปะรดได้ผลผลิตจำนวนมากทั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ในเดือนหน้า โรงงานจะรับซื้อสับปะรดต่างถิ่นน้อยลงหรือหากจะรับซื้อเกษตรกรก็สู้ไม่ไหวเพราะมีต้นทุนการขนส่งที่สูงไม่คุ้มทุน
ทางเกษตรและสหกรณ์จังหวัดลำปาง พร้อมด้วย สภาเกษตรกรจังหวัดลำปาง จึงได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อเร่งนำไปวางแผน ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการในการแก้ปัญหาสับปะรดที่จะออกสู่ตลาดจำนวนมากในเดือนหน้านี้ เพื่อให้เกษตรกรได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
ด้านเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรด เผยว่าขณะนี้ต้นทุนการปลูกสับปะรด โดยเฉพาะปุ๋ยมีราคาที่สูงขึ้นมาก จากเดิมเคยซื้อกระสอบละ 400กว่า เพิ่มขึ้นเป็น 600กว่า และ 700 กว่า บางชนิดสูงถึงพันกว่าบาท และเมื่อลงทุนไปแล้วจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ใน1-2 ปี ข้างหน้า ปัจจุบันเน้นจำหน่ายผลผลิตที่มีคุณภาพ คัดเกรดและจำหน่ายเองทำให้ขายได้ในราคากิโลกรัมละ20บาท ซึ่ง1ลูก บางครั้งมีน้ำหนัก1กิโลกรัมกว่าๆ ตนเองก็ขายเพียง20บาท ก็ถือว่าอยู่ได้ หากเดือนหน้ามีผลผลิตออกสู่ตลาดมาก และราคาตก หากจำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 5 บาท เกษตรกรอยู่ไม่ได้แน่นอน