Last updated: 26 เม.ย 2567 | 474 จำนวนผู้เข้าชม |
สาวลำปางร้องสื่อช่วย หลังตกเป็นแพะรับบาปในคดีร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและซ่องโจร ถูกตำรวจบุกจับคาบ้านยามวิกาลขณะกำลังป้อนข้าวให้พ่อที่เป็นอัมพฤกษ์แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว นำตัวส่งข้ามจังหวัดทั้งคืน ให้ญาติวิ่งกู้ยืมเงินประกันตัวต่อสู้คดีเกือบ4ปี จนศาลยกฟ้องกลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์ เดินหน้าฟ้องและเรียกร้องการเยียวยาศาลชั้นต้นไม่รับฟ้อง ยังไม่ท้อขออุทธรณ์ต่อเพื่อคืนความยุติธรรมให้ตนเองและครอบครัว
วันนี้ (26 เมษายน 2567) นางธนภรณ์ หรือ ก้อย อายุ 57 ปี เจ้าของร้านนวดแผนโบราณในจังหวัดลำปาง ได้นำเอกสารต่างๆเข้าร้องเรียนต่อผู้สื่อข่าวเพื่อช่วยตีแพร่เรื่องราวของเธอและเรียกร้องความยุติธรรมให้ตนเองและครอบครัว หลังตกเป็นแพะรับบาปถูกตั้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและซ่องโจร เพียงแค่มีเบอร์ของตนเองปรากฏการติดต่ออยู่ในโทรศัพท์ลูกค้าร้านนวดซึ่งเป็นหนึ่งในแก็งมิจฉาชีพในช่วงเวลาที่ผู้เสียหายถูกกลุ่มมิจฉาชีพแจ้งความว่าถูกหลอกลวงเท่านั้น ต้องต่อสู้คดีเกือบ 4 ปี ต้องปิดร้าน หยุดงาน รายได้หายเกลี้ยง เริ่มเป็นหนี้สินเพื่อหาเงินประกันตัวเดินทางข้ามจังหวัด ขนพยานต่อสู้คดี หมดเงินไปกว่าล้านบาท สุดท้ายต้องสูญเสียพ่อ หลังทราบลูกพ้นคดีไม่กี่วัน
นางก้อยเล่าด้วยความอัดอั้นตันใจว่า ตนเองเป็นเจ้าของร้านนวดแผนโบราณ แต่ละวันก็จะมีลูกค้ามาใช้บริการหลากหลายอาชีพ ซึ่งตนเองไม่ทราบว่าจะเป็นใครบ้าง หน้าที่คือให้บริการลูกค้า ลูกค้าคนไหนที่มาใช้บริการเป็นประจำตนเองก็จะบันทึกชื่อไว้ในโทรศัพท์ เพราะบางครั้งลูกค้าจะโทรมาสอบถามเวลาที่ว่างเพื่อจะได้นัดเข้ามาใช้บริการไม่ให้เสียเวลามานั่งรอ
ซึ่งลูกค้ารายหนึ่งคือ เฮียเล็ก ที่ตนเองบันทึกชื่อไว้ในโทรศัพท์ ก็เป็นลูกค้าที่มาใช้บริการบ่อย ก็จะโทรมาสอบถามก่อนเข้ามา บางครั้งโทรมาตนเองไม่ได้รับสายเพราะต้องดุแลพ่อที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ตนเองก็จะโทรกลับ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ
แต่อยู่ๆวันที่ 27 ก.ค. 2563 ช่วงค่ำ ตนเองจำภาพติดตาอยู่จนถึงวันนี้ ขณะที่ตนเองกำลังป้อนข้าวให้พ่อ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองลำปาง เข้ามาจับกุมตนเอง ซึ่งตั้งตัวไม่ทันและไม่รู้เลยว่าตนเองถูกดำเนินคดีเรื่องอะไร ซึ่งคนในบ้านพ่อ ก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก ตำรวจจับกุมตัวตนเองและนำขังในห้องขัง จนกระทั่งสองทุ่มกว่าๆ รถตู้ สภ.ภูเพียงจังหวัดน่านมาเอาตัวพี่ไป สภ.ภูเพียง จ.น่านทันที โดยพี่ไม่รู้ว่าที่ไหน ไม่รู้อะไรเลย เพราะไม่เคยไปจังหวัดน่าน ไม่รู้เส้นทาง เมื่อไปถึงก็นำตนเองเข้าห้องขังทันที บอกเลยว่าจิตตกมากทำอะไรไม่ถูกเลย
กระทั่งเช้า เจ้าหน้าที่ตำรวจ พ.ต.ท.ธีรวัฒน์ วังแสง เจ้าของคดี ของนางนงเยาว์ ภูเขียว ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่มาแจ้งความดำเนินคดีไว้กรณีถูกแก็งมิจฉาชีพหลอกให้นำเงินมาร่วมไถ่ถอนที่ดินเพื่อนำไปขายต่อ แต่สุดท้ายถูกหลอกสูญเงินไป 4 แสนบาท โดยมีผู้ร่วมขบวนกร 5 คน ซึ่ง1 ใน5คน ที่ผู้แจ้งระบุว่าชื่อเจี๊ยบ เคยพบกับผู้ร้อง 2-3 ครั้ง แต่กลับจำหน้าคนชื่อเจี๊ยบไม่ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องแกะรอยจากหมายเลขโทรศัพท์ของ 1 ใน5 มิจฉาชีพว่าสได้โทรศัพท์ไปยังหมายเลขไหนในช่วงเกิดเหตุ ซึ่งก็มาตรงกับหมายเลขของตนเองที่ลูกค้าร้านนวด ที่ชื่อเฮียเล็กโทรติดต่อเกี่ยวกับการนวด จนท.ตำรวจจึงขอคัดสำเนาบัตรจากซิมมือถือและคัดสำเนาบัตรจากทะเบียนให้ผู้ร้องดู ผู้ร้องยืนยันว่าคือตนเอง จึงขอศาลออกหมายจับทันที โดยมีหมายเรียกใดๆมาถึงตนเองมาก่อน จนกระทั่งบุกไปจับกุมตัวส่งมาที่ สภ.ภูเพียง และ พ.ต.ท.ธีรวัฒน์ ได้โทรศัพท์เรียกนางนงเยาว์มาชี้ตัว เมื่อมาถึง จนท.ตำรวจให้นางนงเยาว์เข้าไปพบในห้องประมาณ 10 นาที ก่อนที่นางนงเยาว์จะออกมาชี้ตัว ซึ่งมีตนเองเพียงคนเดียว ยืนยันว่าตนเองคือ คนชื่อเจี๊ยบ หนึ่งในแก็งมิจฉาชีพที่ไปหลอกลวง ซึ่งตนเองก็ปฎิเสธและถามนางนงเยาว์เราเคยเจอกันเมื่อไหร่เพราะตนเองไม่เคยมาจังหวัดน่านเลย แต่นางนงเยาว์ก็ยืนยันว่าเป็นตนเอง สุดท้าย ตำรวจส่งสำนวนให้อัยการ อัยการส่งฟ้องศาลตนเองเป็นจำเลย
จากนั้นตนเองต้องวิ่งต่อสู้คดีต้องเดินทางระหว่างจังหวัดลำปาง ไปกลับ จังหวัดน่าน ขนพยานยืนยันสถานที่อยู่เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองว่าตลอดเวลาตนเองอยู่ที่จังหวัดลำปาง ต้องงเดินทางไปให้ปากคำหลายต่อหลายครั้ง ตลอดระยะเกือบ 4 ปี ซึ่งระหว่างต่อสู้คดี ได้มีการสืบสวนติดตามดูภาพจากกล้องวงจรปิด จนทราบรูปพรรณสันฐานว่าแก็งมิจฉาชีพเป็นโคร แต่นางนงเยาว์กลับไม่ดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านั้นแต่เจาะจงตนเองเพียงคนเดียว ทั้งๆที่ตนเองไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเดินทางมาจังหวัดน่าน จนกระทั่งศาลยกฟ้อง เมื่อ ตุลาคม 2566 เมื่อพ่อตนเองทราบว่าคดีสิ้นสุดแล้วตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่กี่วันพ่อก็เสียชีวิตเหมือนกับต้องการจะรอดูลูกให้พ้นผิดก่อนแล้วก็จากไป
เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้ตนเอง ตนเองได้ร้องเรียนไปยัง คณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ให้พิจารณาดำเนินการทางอาญา ในมาตรา 157 แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดี และ พนักงานอัยการที่นำสำนวนส่งฟ้องจนตนเองได้รับความเดือดร้อนและเสียหายนั้น ปรากฏว่า ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดี ไม่ทำการสืบสวนหรือสอบสวนขยายผลจับกุมคนร้ายซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดที่แท้จริงในคดี ถูกลงโทษทางวินัยให้กักยามเป็นเวลา 3 วันเท่านั้น ส่วนอัยการยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
และตัดสินใจฟ้องนางนงเยาว์ และ นายสมัย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ,90 ,91 ,137 , 173 , 174 ,175 ,177 ,181 พร้อมเรียกค่าเสียหาย แต่ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะข้อหาแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จ( 137,177) ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง ซึ่งตนเองไม่เข้าใจว่าทั้งๆ ที่เอกสารหลักฐานทางสำนวนระบุชัดเจนว่าทั้งสองสามีภรรยาเป็นผู้ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จทั้งๆที่รู้ว่าตนเองไม่ใช่คนร้ายแต่ทำไมศาลถึงไม่เชื่อ
ซึ่งขณะนี้ตนเองข้อสู้ให้ถึงที่สุดเดินหน้าอุทธรณ์เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมและได้รับการเยียวยาจากเหตุการณ์ที่ตนเองตกเป็นแพะในครั้งนี้ ซึ่งประชาชนคนบริสุทธิ์ไม่ควรเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้โดยไร้ผู้ที่รับผิดชอบ