Last updated: 15 ก.ย. 2563 | 740 จำนวนผู้เข้าชม |
ที่บริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่จางฝั่งซ้าย ซึ่งเป็นโซนCเขตอนุรักษ์ และเป็นสถานที่ตั้งของถ้ำสบเติ๋น หรือที่มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าวัดป่าถ้ำเทพอุดมมงคล ตำบลสบป้าด อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ร่วม 10 นาย พร้อมด้วยผู้นำหมู่บ้านและชาวบ้านจำนวนหนึ่ง ได้เข้าตรวจสอบ หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านที่เข้าไปหาหน่อไม้ในป่าและเดินผ่านถ้ำเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งบริเวณดังกล่าวพระสงฆ์จำนวน4รูป ซึ่งเข้าไปยึดครองบริเวณพื้นที่หน้าถ้ำ พร้อมด้วยฆารวาสอีกจำนวนหนึ่งได้ทำลายธรรมชาติโดยการขุด งัด หิน บริเวณหน้าถ้ำออกจำนวนมาก ทั้งๆที่ขณะนี้ทางราชการให้ยุติทั้งหมด หลังจากมีการร้องเรียน กรณีบุคคลภายนอกหมู่บ้านแอบอ้างรายชื่อชาวบ้านในพื้นที่เสนอไปยังสำนักพระพุทธศาสนาจังหวัดลำปางเพื่อขอตั้งบริเวณดังกล่าวขึ้นเป็นวัด แต่ชาวบ้านไม่เห็นด้วยและคัดค้านมาโดยตลอด เพราะ มีการก่อสร้างและทำลายพื้นที่ป่า และ อบต.สบป้าด ไม่อนุมัติ
เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงก็พบว่าพระและฆารวาสบางส่วนได้ร่วมกัน งัดแงะ หินออกจากบริเวณหน้าถ้ำ จนสภาพพื้นที่เปลี่ยน จึงได้สั่งห้ามและให้ยุติ ทำให้พระไม่พอใจ ได้ด่าทอ จนท.และผู้นำหมู่บ้านรวมถึงชาวบ้านที่เข้าไปตรวจสอบ โดยใช้คำพูดมึง กู พร้อมกับพูดจาข่มขู่ และ ไม่เกรงกลัวเจ้าหน้าที่ ขู่จะทุบทิ้งฝายที่ชาวบ้านร่วมทำกันไว้บริเวณในป่าทั้งหมด พร้อมทั้งเรียกผู้ใหญ่บ้านว่า มึง และด่าผู้ใหญ่บ้านว่าอีเหี้ย พร้อมทั้งด่า ถึงบรรพบุรุษ ด่า อบต.ต่างๆนาๆ “กูไม่กลัวหรอกชาวบ้านเหี้ยๆพวกนี้ กูไม่กลัวหรอก อยากดังเดี่ยวกูจัดให้” พร้อมด่าเจ้าหน้าที่ว่าไม่ต้องมาพูดเรื่องหลักอะไรทั้งนั้น กูเหยียบที่นี้ก็เป็นของกู เดี่ยวพวกมึงก็จะตาย ก่อนที่ชาวบ้านจะไม่พอใจและตะโกนด่ากันไปมา โดยชาวบ้านบอกว่าที่นี่เป็นที่ของหมู่บ้าน พระแค่มาอยู่ทำไมต้องมาทำความเดือดร้อน มาทำลายธรรมชาติ เข้ามาอยู่ไม่เคยถามชาวบ้าน ขณะที่พระก็บอกว่าจะถามทำไมพวกมึงไม่ใช่พ่อกู ทั้งนี้พระยังบอกกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้อีกว่าตอนนี้ยังไม่ใช่ของอาตมา ยังไม่ได้รับอนุญาตแต่อาตมาก็ยังสร้างอะไรได้เลย เจ้าหน้าที่ตอบกลับว่า ก็ยิ่งไม่ได้รับอนุญาตยิ่งทำแบบนี้ก็ง่ายที่จะถูกจับ ทำให้พระรูปดังกล่าวยิ่งโมโห ตตะคอกกลับว่า อยากจับก็จับเลย ที่กูยืนอยู่นี้ก็เป็นของกู จนชาวบ้านที่มาด้วยทนไม่ไหวตะโกนต่อว่า ว่าไม่ใช่พื้นที่ทั้งหมดเป็นของหมู่บ้าน พระมาจากไหนแล้วมาทำลายธรรมชาติ มาทำโน้นทำนี่โดยที่ชาวบ้านไม่เห็นด้วยมาทำทำไมห้ามแล้วก็ยังทำอีก ไม่ต้องทำไม่ต้องอยู่แล้วออกไปจากหมู่บ้านเลย
เจ้าหน้าที่เห็นท่าไม่ดีเพราะแต่ละฝ่ายต่างเริ่มใช้อารมย์ จึงได้แต่ขอให้ทุกคนใช้สติพูดจากัน โดยสุดท้ายเจ้าหน้าที่ป่าไม้แจ้งหับทาง ผู้นำหมู่บ้านพร้อมชาวบ้านว่า ขณะนี้ตามคำสั่งของจังหวัดการขอพื้นที่แห่งนี้จัดตั้งเป็นวัดนั้นผู้ขอคือนางสุนีย์ จะต้องส่งเอกสารอีก 4 รายการ ซึ่งยังไม่ครบถ้วน ดังนั้นขณะนี้พื้นที่ดังกล่าวจึงยังไม่อนุญาตให้ใช้ จึงขอให้พระยุติการก่อสร้างหรือทำอื่นๆในพื้นที่ ซึ่งตัวแทนพระก็บอกว่าจะหยุดก่อนจนกว่าจะได้รับอนุญาต
ทั้งนี้ล่าสุดนางจันทร์ศรี วงค์อ้าย ผู้ใหญ่บ้านสบเติ๋น ได้เข้าแจ้งความกรณีถูกพระข่มขู่อาฆาตมาดร้าย ไว้ที่ สภ.แม่เมาะ แล้ว
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากที่ผ่านมาประมาณกว่ากว่าปี พระรูปหนึ่งได้เข้ามาอาศัยอยูในกุฎิบริเวณหน้าถ้ำซึ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์และป่าชุมชนของหมู่บ้านชาวบ้านช่วยกันดูแล ชาวบ้านใช้ประโยชน์จากน้ำที่ไหลออกมาจากถ้ำธรรมชาติเพื่อใช้ในการเกษตร แต่เมื่อ3-4ปีที่ผ่านมา เริ่มมีการก่อสรา้งอาคารต่างๆขึ้นบนเชิงภูเขาหน้าถ้ำจำนวนมาก ชาวบ้านได้มีการออกมาต่อต้านคัดค้านแต่ไม่เป็นผล พระยังห้ามไม่ให้ชาวบ้านใช้น้ำจากถ้ำ จนเกิดเรืองทะเลาะวิวาทกัน และอยู่ๆเมื่อชาวบ้านก็ได้รับทราบว่ามีการขอพื้นที่แห่งนี้ตั้งเป็นวัด ซึ่งชาวบ้านไม่ทราบเรื่องมาก่อน จนกระทั่งมีการเข้าไปตรวจสอบเอกสารที่มีบุคคลใช้ยื่นขออนุญาตใช้พื้นที่6ไร่ขอตั้งเป็นวัด จนทราบว่ามีบุคคลนอกพื้นที่ของหมู่บ้านได้แอบอ้างเอกสารการประชุมประจำเดือนหมู่บ้านที่ชาวบ้านลงชื่อร่วมประชุม ไปใช้โดยอ้างว่าเป็นประชาคมหมู่บ้านที่เห็นชอบให้ตั้งวัด ไปยื่นต่อ สภาฯอบต.สบป้าด จนกระทั่งมีการแจ้งความเกี่ยวกับการปลอมลายมือชื่อ และร้องเรียนเรื่องดังกล่าวไปยังหลายหน่วยงาน ซึ่งล่าสุดทางกรมป่าไม้ยังไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่โดยให้ผู้ขอคือ สำนัพระพุทธศาสนาส่งเอกสารเพิ่มเติม อาทิ เอกสารการอนุญาตจาก อบต. การทำประชาคมของหมู่บ้าน เป็นต้น
แต่พระก็ยังคงพักอาศัยในพื้นที่และยังคงปรับปรุงพื้นที่ที่เป็นแหล่งธรรมชาติได้ตามปกติ โดย เจ้าหน้าที่ป่าไม้ไม่ได้ดำเนินการจับกุมหรือกดดันให้ออกนอกพื้นที่ก่อนที่จะได้รับอนุญาตแต่อย่างใด จนกระทั่งชาวบ้านเข้าไปพบว่าพระมีการปรับพื้นที่โดยการขุดเจาะหินธรรมชาติที่จะทำให้สภาพพื้นที่หน้าถ้ำเปลี่ยนแปลง จนมีการเข้าไปตรวจสอบและเกิดการโต้เถียงกันดังกล่าวขึ้น